วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ และ สรรพคุณของใบมะกรูด 
ใบมะกรูดอีกหนึ่งใบผักที่คนไทยแต่คุณรู้ถึงประโยชน์และสรรพคุณของใบมะกรูดกัน บ้างรึเปล่าค่ะ คุณแม่บ้านและคุณพ่อบ้านชอบนำมาปรุงอาหารเพื่อช่วยในการดับกลิ่นของอาหารได้ ดีและช่วยเพิ่มกลิ่นหอมในอาหารได้ดีเช่นเดียวกัน และ สรรพคุณของใบมะกรูด และ ประโยชน์ของใบมะกรูด ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะในใบมะกรูดก็จัดเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรด้วยนะค่ะ อยากรู้ สรรพคุณของใบมะกรูด และ ประโยชน์ของใบมะกรูด กันแล้วรึยังค่ะ ถ้าอยากรู้แล้วก้มาดูกันเลย
 

ประโยชน์ / สรรพคุณของใบมะกรูด
ใบมะกรูดช่วย ขับลม ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี แต่บางคนคิดว่าเอามาทานได้อย่างเดียวทั้ง ๆ ที่บางคนก็เอามาทำเป็นสมุนไพรแบบ "สปา" ซึ่งถ้ารู้สึกเครียด ๆ ก็เอาใบมะกรูดมาฉีก ๆ แล้วดมก็ทำให้ผ่อนคลายได้เหมือนกัน เพราะในใบมะกรูดจะมีสารบางตัวทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี
คนที่อยู่ต่างแดน ช่วงนี้อากาศเย็นมาก ๆ ออกไปข้างนอกกลับมาเย็นมือเย็นเท้าแถมเกร็ง ๆ ไปทั้งตัวก็ใช้ ใบมะกรูด ได้เหมือนกัน
วิธี ทำ คือ นำน้ำอุ่นใส่ภาชนะฉีกใบมะกรูดลงในน้ำอุ่นแช่เท้าหรือมือไว้สักพัก กลิ่นใบมะกรูดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บวกกับน้ำอุ่นก็จะทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นสบายตัวดีด้วย  

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกรูด 
มะกรูด คงจะไม่มีใครไม่รู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้ใช่ไหมค่ะ ในสรรพคุณและประโยชน์ของมะกรูดนั้น เรียกได้ว่ามีมากมาย และที่โด่งดังเห็นทีจะเป็นในเรื่องของ สรรพคุณของมะกรูด ที่ใช้ในการรักษาเส้นผมให้สวย ดกดำ และเงางาม รวมถึงดูแลหนังศรีษะให้สุขภาพดีเนี่ยแหละค่ะ เห็นไม่คุ่ะว่า ประโยชน์ของมะกรูด มีมากจริง ๆ แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มีมากเหลือเกิน เราจึงก็รวบรวมความรู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มาบอกคุณ ๆ ที่มักจะใช้มะกรูดและกำลังคิดจะใช้สมุนไพรตัวนี้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงนำมาปรุงอาหารอีกด้วยนะค่ะ นั้นเราก็มาดูสรรพคุณของมะกรูดและประโยชน์ของมะกรูดกันเลยค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกรูด
ขับลมแก้จุกเสียด วิธีใช้
1. ตัดจุกผลมะกรูดคว้านไส้กลางออกเอามหาหิงส์ใส่แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียมบดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งรับประทาน จะช่วยขับลม แก้ปวดท้องหรือป้ายลิ้นเด็กอ่อน เป็นยาขับขี้เทาได้
2. น้ำมะกรูดใช้ถูกฟัน แก้เลือดออกตามไรฟัน
3. เอาผลมะกรูดมาดอง เป็นยาดองเปรี้ยวรับประทานขับลมขับระดู
4. เปลือกผลฝานบาง ๆ ชงน้ำเดือดใส่การะบูรเล็กน้อย รับประทานแก้ลมวิงเวียน
5. เปลือกฝนใช้ผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น แชมพู สบู (เชษฐา, 2525)

ขนาดการใช้และผลที่ได้รับจากการรักษาโรค
- แก้ลม บำรุงหัวใจ ใช้ผิวสดหั่นเป็นชิ้น ผสมการะบูรหนึ่งหยิบมือ ชงน้ำเดือด คนให้ละลาย ปิดฝาทิ้งไว้ 3 – 5 นาที ดื่มเอาแต่น้ำ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดี
- ยาขับเสมหะ แก้ไอ ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือลนไฟให้เปลือกนิ่มบีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อย ๆ
- เป็นยาสระผมหรืออาบ นำมะกรูดผ่าซีกลงในหม้อต้มอาบได้น้ำมันหอมระเหยอยู่บนผิวทำให้ผิวไม่แห้ง และรสเปรี้ยวของมะกรูดช่วยให้อาบสะอาดนอกจากนี้ใช้มะกรูดผ่าซีกเอาน้ำมาสระ ผม
นอกจากมะกรูดจะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ได้ดีแล้วยังมีรายงาน ว่าน้ำมันจากใบมะกรูดจะกระตุ้นการเจริญของเชื้อราบางชนิดได้อีกด้วย เช่น กระตุ้นการสร้างเส้นใยของราพวกมูเคอร์ อัลเทอร์นาเรีย แอสเปอร์จิลลัส และกระตุ้นการสร้างสปอร์ของแอสเปอร์จิลลัส (บัญญัติ, 2527)

สารเคมีที่สำคัญ
สารเคมีที่สำคัญที่พบในมะกรูดนี้จะอยู่ในส่วนของน้ำมันหอมระเหยซึ่งมี ทั้งในส่วนใบและเปลือกของผลที่เรียกว่า ผิวมะกรูด โดยที่ผิวมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหย 4 เปอร์เซ็นต์ และใบจะมีน้ำมันหอมระเหย 0.08 เปอร์เซ็นต์
มะกรูดเป็นพืชเครื่องเทศและพืชสมุนไพรมนุษย์ได้ รู้จักนำเอาประโยชน์ที่ได้รับจากมะกรูดเป็นยารักษาโรคหรือส่วนผสมของยา ช่วยแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ดองยาเพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี เนื้อของผลใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะและระงับการไอ ส่วนใบใช้ในการดับกลิ่นคาวในอาหารใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด และผลมะกรูดที่คว้านไส้ออกนำมหาหิงค์ใส่แทนใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางและน้ำของมะกรูดมีกรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม นอกจากนี้ผิวมะกรูดจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพื่อกำจัดรังแคที่มาจากเชื้อรา

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของมะเขือพวง


 มะเขือพวง 

มะเขือพวง

สรรพคุณเหลือเชื่อ
   นัก วิจัยของคณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้วิจัยเรื่องสรรพคุณ วิเศษของมะเขือพวง  ผักพื้นบ้านของไทย  และพบว่า  เป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างมาก  เนื่องจาก  มีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระ  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวาน   มีเส้นใยที่ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินได้ดีเยี่ยม  เรียกว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักวิจัยและคนไทยทั่วไป  เนื่องจาก มะเขือพวง  เป็นพืชคู่ครัวคนไทยมาช้านาน ไม่ว่าเราจะกินแกงเขียวหวาน  แกงเนื้อ  แกงป่า  น้ำพริกากะปิ  หรือผัดเผ็ดบางชนิด  สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ "มะเขือพวง"  แสดงให้เห็นว่า  ตำหรับอาหารที่สืบทอดมาแต่โบราณ  บรรพบุรุษของเรา  มิได้คำนึงถึงรสชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองไปถึงสรรพคุณของพืชผัก แต่ละชนิดเป็นส่วนสำคัญอีกด้วย
       "มะเขือพวง"  มีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนโบราณหลายประการ  เช่น  ช่วยเจริญอาหาร  ช่วยระบบขับถ่าย  บำรุงธาตุ  ขับเสมหะ แก้ไอ  ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี  แก้ปวด  ฟกซ้ำ  ปวดกระเพาะ  แก้อาการฝีบวมหนอง  อาการบวม  อักเสบ  ขับปัสสาวะ  ทั้งนี้  จากการศึกษาวิจัย  ทำให้พบว่า
     1.  มะเขือพวงมีสารจำพวก  "ไฟโตนิวเทียนท์"  ที่จะช่วยร่างกาย ในสภาวะขาดสารอาหาร  ให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
      2.  มีกลุ่มสาร "ทอร์โวไซด์"  ซึ่งช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ และกระตุ้นให้ตับนำโคเลสเตอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น  รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของโคเลสเตอรอลในลำไส้ด้วย  จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง
     3.  ในมะเขือพวงมีสาร  "ซาโปนิน"  ทำให้มะเขือพวงมีฤทธิ์ขับเสมหะ
     4.  มะเขือพวงเป็นพืชที่มีเส้นใยมากที่สุด  เมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยทั้งหมด  จนได้รับสมญานามเป็น "ราชาแห่งผักพื้นบ้าน  ในเรื่องของสารเส้นใย"  โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3  เท่า  และมากกว่ามะเขือเปราะถึง  65  เท่า  เส้นใยในมะเขือพวง  มีชื่อเรียกว่า  "เพกติน"  ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้
     สารนี้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้  ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง  จึงเป็นการช่วยไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วเกินไป  ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
มะเขือพวง
     อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  เปิดเผยว่า
     "สารเพกตินในมะเขือพวง  ช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินออกจากอาหารได้  ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บรรพบุรุษของไทย  มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง  ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง  และโรคหลอดเลือดหัวใจได้"
     อย่างไรก็ตาม  แม้ มะเขือพวงจะเป็นพืชผักที่มีประโยชน์มาก  แต่คณะผู้วิจัยก็ยังบอกว่า  ไม่ควรกินมากเกินไป  เพราะมีสาร  "อัลคาลอยด์"  ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท   และมีผลต่ออวัยวะอื่น ๆ  (เข้าทำนองว่า  อะไร ๆ  ที่เกินประมาณ  ก็เกิดอันตรายได้ทั้งนั้น)